วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

freeman4957: ไซบีเรียนฮัสกีไซบีเรียนฮัสกี (รัสเซีย: Си...

freeman4957: ไซบีเรียนฮัสกี








ไซบีเรียนฮัสกี (รัสเซีย: Си...
: ไซบีเรียนฮัสกี ไซบีเรียนฮัสกี ( รัสเซีย : Сибирский хаски , Sibirskiy Haski) เป็นสุนัข...

freeman4957: บีเกิล ( Beagle  )บีเกิล (Beagle) เป็นสาย...

freeman4957: บีเกิล ( Beagle )








บีเกิล (Beagle) เป็นสาย...
: บีเกิล ( Beagle ) บีเกิล (Beagle) เป็นสายพันธุ์สุนัขมีถิ่นกำเนิดในประเทศ สหราชอาณาจักร อยู่ใน...

freeman4957: สุนัขพันธุ์ชาไป่ชาร์ไป่เป็นสุนัขที่หาย...

freeman4957: สุนัขพันธุ์ชาไป่











ชาร์ไป่เป็นสุนัขที่หาย...
: สุนัขพันธุ์ชาไป่ ชาร์ไป่เป็นสุนัขที่หายากพันธุ์หนึ่ง มันเกือบจะ สูญพันธุ์ไปแล้วเสียด้วยซ้ำ หากผู้เ...

freeman4957: สุนัขพันธุ์ Tibetan mastiffข้อมูลเฉพาะ หม...

freeman4957: สุนัขพันธุ์ Tibetan mastiff








ข้อมูลเฉพาะ หม...
: สุนัขพันธุ์ Tibetan mastiff ข้อมูลเฉพาะ หมา แพงที่สุดในโลก เป็นสุนัขสายพันธุ์ ทิเบตัน มาสทิสส์...

freeman4957: สุนัขพันธุ์ปั้ก

freeman4957: สุนัขพันธุ์ปั้ก: หมาปั๊ก Puggy ตูบหน้าบี้...จอมทะเล้น (Dogazine) ในปัจจุบัน คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักสุนัขสายพันธุ์ปั๊กเป็นแน่ เนื่องด้วยกระ...

freeman4957: สุนัขพันธ์ุปักกิ่ง( บรรพบุรุษของปั้ก)ลักษณะท...

freeman4957: สุนัขพันธ์ุปักกิ่ง( บรรพบุรุษของปั้ก)





ลักษณะท...
: สุนัขพันธ์ุปักกิ่ง( บรรพบุรุษของปั้ก) ลักษณะทั่วไป สุนัข พันธุ์ปักกิ่งมีบุคลิกแบบสวย เริ่ด เชิด และหยิ่งในศักดิ์...

freeman4957: สุนัขพันธุ์ปั้ก

freeman4957: สุนัขพันธุ์ปั้ก: หมาปั๊ก Puggy ตูบหน้าบี้...จอมทะเล้น (Dogazine) ในปัจจุบัน คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักสุนัขสายพันธุ์ปั๊กเป็นแน่ เนื่องด้วยกระ...

ไซบีเรียนฮัสกี










ไซบีเรียนฮัสกี (รัสเซียСибирский хаски, Sibirskiy Haski) เป็นสุนัขขนาดกลาง ขนฟูแน่น จัดอยู่ในกลุ่มสุนัขใช้งาน มีต้นกำเนิดทางตะวันออกของไซบีเรียเพาะพันธุ์มาจากสุนัขในวงศ์สปิตซ์ มีลักษณะขน 2 ชั้นฟูแน่น, หางรูปเคียว, หูเป็นรูปสามเหลี่ยมตั้งชัน และลายที่เป็นลักษณะเฉพาะ
ไซบีเรียนฮัสกีเป็นสุนัขที่แข็งแรง คล่องแคล่ว เต็มไปด้วยพลัง และยืดหยุ่น เป็นคุณสมบัติที่สืบทอดจากบรรพบุรุษที่มาจากสิ่งแวดล้อมที่หนาวเย็นอย่างรุนแรงของไซบีเรีย และจากการเพาะพันธุ์ของชาวชุกชี (Chukchi) ที่อาศัยอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเอเชีย สุนัขถูกนำเข้ามาในอะแลสกา ระหว่างช่วงตื่นทองที่เมืองนอมน์ (Nome) และแพร่เข้าสู่สหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดาในฐานะสุนัขลากเลื่อน ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นสุนัขเลี้ยงตามบ้านในภายหลังอย่างรวดเร็ว

ประวัติ

สุนัขทุกสายพันธุ์ที่ถูกพัฒนาพันธุ์ขึ้นมีบรรพบุรุษเดียวกันนั่นคือสุนัขป่าโบราณ (วงศ์ Canidae)[1] ไซบีเรียนฮัสกี, ซามอย, และอลาสกันมาลามิวนั้นสืบสายพันธุ์โดยตรงจากสุนัขลากเลื่อน[2] จากการวิเคราะห์ดีเอ็นเอที่ผ่านมาเมื่อเร็วๆนี้ช่วยยืนยันว่ามันเป็นหนึ่งในสุนัขที่มีการเพาะเลี้ยงมาแต่โบราณ[3] คำว่า "ฮัสกี (husky)" ได้มาจากชื่อที่ใช้เรียกชาวอินนูอิต (Inuit) ว่า "ฮัสกีส์ (huskies)" โดยคณะสำรวจคนขาว (Caucasian) คณะแรกๆที่มาถึงแผ่นดินของพวกเขา ส่วนคำว่า "ไซบีเรียน (Siberian)" ได้มาจากไซบีเรียนั่นเองเนื่องจากความคิดที่ว่าสุนัขลากเลื่อนนี้ถูกใช้ในการข้ามสะพานแผ่นดินของช่องแคบเบอร์ริ่งที่เป็นทางเข้าสู่หรือออกจากมลรัฐอะแลสกา[2], ซึ่งทฤษฎีนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในหมู่ผู้ที่ทำการศึกษาค้นคว้า[4] สุนัขที่สืบเชื้อสายมาจากสุนัขเอซคิโมสามารถพบได้ตลอดซีกโลกด้านเหนือจากไซบีเรียถึงประเทศแคนาดามลรัฐอะแลสกากรีนแลนด์, ลาบราดอร์ (Labrador), และเกาะบัฟฟินค์ (Baffin Island)[2]
ด้วยความช่วยเหลือของไซบีเรียนฮัสกี ประชาชนของชนเผ่าต่างๆไม่เพียงแค่รอดตายเท่านั้นในการออกสำรวจดินแดนที่ไม่มีรู้จัก พลเรือเองโรเบิร์ต เพียร์รี่ (Robert Peary) แห่งกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาก็ได้รับความช่วยเหลือจากสุนัขสายพันธุ์นี้ระหว่างคณะสำรวจของเขาออกสำรวจขั้วโลกเหนือ บทบาทของไซบีเรียนฮัสกีในกระทำหน้าที่นี้ไม่สามารถเป็นที่หยั่งรู้ได้[2]
สุนัขจากแม่น้ำอานาเดียร์ (Anadyr River) และพื้นที่รอบๆถูกนำเข้ามาในมลรัฐอะแลสกาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1908 (และเป็นเวลา 2 ทศวรรษ)ในช่วงตื่นทองเพื่อใช้เป็นสุนัขลากเลื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน All-Alaska Sweepstakes (AAS) หรือการแข่งสุนัขลากเลื่อนทางไกลซึ่งเป็นระยะทาง 408 ไมล์ (657 กม.) จากเมืองนอมน์ (Nome) ถึงเมืองแคนเดิล (Candle) ไปและกลับ "เล็กกว่า, เร็วกว่า และอดทนมากกว่า ในการบรรทุกน้ำหนักราว 100 - 120 ปอนด์ (45 - 54 กิโลกรัม)" มันเป็นส่วนสำคัญใกล้ชิดของผู้เข้าแข่งขันยาวนอมน์ที่มีชื่อเสียง ลีออนฮาร์ด เซพพารา (Leonhard Seppala) ที่เคยเป็นผู้เพาะเลี้ยงไซบีเรียนฮัสกีมาก่อนที่จะเข้าร่วมการแข่งขันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1909 ถึงช่วง ค.ศ. 1920[2]
ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1925 กันเนอร์ คาเซ็น (Gunnar Kaasen) เป็นผู้นำเซรุ่มไปถึงเมืองนอมน์เป็นคนแรกในปี ค.ศ. 1925 เพื่อรักษาโรคคอตีบ กันเนอร์ได้ออกจากเมืองนีนนานา (Nenana) ไปสู่เมื่องนอมน์เป็นระยะทางมากกว่า 600 ไมล์ ด้วยความพยายามของผู้เดินทางและความช่วยเหลือของสุนัขลากเลื่อน การแข่งขัน Iditarod Trail Sled Dog Race (การแข่งสุนัขลากเลื่อนสู่เมื่องอิดิตทารอต) ที่จัดขึ้นก็เพื่อเป็นอนุสรณ์ของการขนส่งเซรุ่มนี้เอง และเหตุการณ์นี้ได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันในปี ค.ศ. 1995 ที่ชื่อ"บอลโต (Balto)" ตามชื่อของสุนัขนำทีมของกันเนอร์ และเพื่อเป็นเกียรติแก่สุนัขนำทีมบอลโต มีการสร้างรูปหล่อเหมือนที่ทำจากทองแดง ตั้งอยู่ในเซ็นทรอล ปาร์คในมลรัฐนิวยอร์ก มีคำจารึกดังนี้

ในปี ค.ศ. 1930 ไซบีเรียนฮัสกีตัวสุดท้ายถูกนำออกจากรัฐบาลโซเวียดใกล้กับพรมแดนของไซบีเรียเพื่อการแลกเปลี่ยนกับภายนอก ปีเดียวกันมีการจดทะเบียนรับรองสายพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกีโดยสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัขแห่งสหรัฐอเมริกาเป็น 9 ปีหลังจากสายพันธุ์นี้ถูกจดทะเบียนในประเทศแคนนาดา ณ.วันนี้ไซบีเรียนฮัสกีที่จดทะเบียนในอเมริกาเหนือเป็นลูกหลานส่วนใหญ่ของไซบีเรียนฮัสกีที่ถูกนำเข้ามาในปี ค.ศ. 1930 และสุนัขของลีออนฮาร์ด เซพพารา เซพพาราเจ้าของคอกสุนัขในนีนนานาก่อนที่จะย้ายไปอยู่นิวอิงแลนด์ อาเทอร์ วาวเด็น (Arthur Walden) เจ้าของคอกสุนัขชินุก (Chinook) แห่งวอนนาแวมเซิด (Wonalancet) มลรัฐนิวแฮมป์เชียร์ ผู้มีไซบีเรียนฮัสกีในคอกที่โดดเด่น สุนัขตั้งแต่เริ่มก่อตั้งคอกของเขามาจากอะแลสกาโดยตรงและมาจากคอกของเซพพารา
ก่อนที่จะมีชื่อเสียง, ในปี ค.ศ. 1933 ว่าที่พลเรือเอกริชาร์ด อี. เบอร์ด (Richard E. Byrd)แห่งกองทัพเรือได้ซื้อสุนัขไซบีเรียนฮัสกีราวๆ 50 ตัวด้วยตัวเขาเอง หลายๆตัวถูกรวบรวมและฝึกจากคอกชินุกในมลรัฐนิวแฮมป์เชียร์ เพื่อใช้ในคณะสำรวจของเบอร์ดที่เขาหวังจะเดินทางราวๆ 16,000 ไมล์ไปตามชายฝั่งของทวีปแอนตาร์กติกา ที่เรียกว่าปฏิบัติการกระโดดสูง (Operation Highjump) จากประวัติการเดินทางนี้เอง พิสูจน์ให้เห็นคุณค่าไซบีเรียนฮัสกีเพราะขนาดที่พอเหมาะ และความเร็วที่ดีเยี่ยม[2] กองทัพสหรัฐอเมริกาได้ใช้ไซบีเรียนฮัสกีในการค้นหาและช่วยเหลือในขั้วโลกเหนือของคำสั่งขนส่งทางอากาศระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองอุทิศแก่จิตวิญญาณที่ทรหดของสุนัขลากเลื่อนที่นำเชื้อต้านพิษบนทางยากลำบากเต็มไปด้วยน้ำแข็ง 600 ไมล์, ข้ามลำน้ำที่แข็งตัว, ฝ่าพายุหิมะของขั้วโลกเหนือจากเมื่องนีนนานาสู่เมืองนอมน์ที่รอความช่วยเหลือให้พ้นจากโรคร้ายในฤดูหนาวปี ค.ศ. 1925 อดทน--ซื่อสัตย์--มีไหวพริบ
ลักษณะทั่วไป


ไซบีเรียนเพศเมียสีแดงอ่อน
ไซบีเรียนฮัสกีมีรูปร่างลักษณะภายนอกคล้ายกับอลาสกันมาลามิวเช่นเดียวกับสายพันธุ์อื่นๆที่พัฒนาสายพันธุ์มาจากสุนัขวงศ์สปิตซ์เช่นซามอย ไซบีเรียนมีขนหนาแน่นกว่าสุนัขสายพันธุ์อื่น มีสีและรูปแบบขนที่หลากหลาย โดยปกติมีสีขาวที่เท้า, ขา, ท้อง, รอบตาหรือเป็นหน้ากากที่หน้า และที่ปลายหาง ทั่วไปมีสีดำ-ขาว, เทา-ขาว, ทองแดง-ขาว, และขาวปลอด และยังมีแบบที่เป็นเอกลักษณะเฉพาะ เช่น สีอ่อน แต้มจุด แว่นตา ฯลฯ บางครั้งก็มีลักษณะคล้ายหมาป่าเกิดขึ้น แม้ว่าในการพัฒนาพันธุ์ไม่มีความใกล้ชิดกับหมาป่าหรือสายพันธุ์ที่ใกล้ชิดเลย คิดว่าเกิดจากการเพาะพันธุ์ที่ไซบีเรียแล้วไซบีเรียนฮัสกี "ตา 2 สี", "จมูกหิมะ"(สีแดง)สีตาของไซบีเรียนฮัสกีที่เป็นที่ยอมรับมีสีฟ้าหรือน้ำตาลเข้ม, เขียว, น้ำตาลอ่อน, เหลือง/อำพัน, "แก้วตาหลายสี" หรือตาเฮเซล (Hazel) เป็นจุดบกพร่องร้ายแรงที่แสดงวงสีต่างกันในแก้วตา รวมถึงตาข้างนึงสีน้ำตาลอีกข้างสีฟ้า (complete heterochromia) หรือตาข้างเดียวหรือทั้ง 2 ข้างมีสี "แบ่งส่วน" น้ำตาลครึ่งฟ้าครึ่ง (partial heterochromia) นี่คือสีตาทั้งหมดที่ถูกพิจารณายอมรับโดยสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัขแห่งสหรัฐอเมริกา ตาต้องเป็นรูปอัลมอนด์ เว้นระยะห่างกันปานกลาง วางตัวเฉียงเล็กน้อยหูและหาง
หูเป็นรูปสามเหลี่ยม, มีขนสมบูรณ์, ขนาดกลาง, และตั้งชัน ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นบ่อยๆในการพัฒนาพันธุ์โดยสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัข เช่นสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัข (สหรัฐอเมริกา) ที่มีรูปหูที่เรียกว่าหูผึ่ง (prick ears) หางเป็นพู่เหมือนหางหมาจิ้งจอกรูปเคียวโค้งเหนือหลังและลากหางไปด้านหลังเมื่อเคลื่อนไหว ไซบีเรียนฮัสกีส่วนมากมีสีขาวตรงปลายหาง หางต้องไม่โค้งจนแตะหลังเหมือนสปิตซ์ สีออกแกมขาว
ขนของไซบีเรียนฮัสกีมี 2 ชั้น ขนชั้นในที่หนาแน่นและขนชั้นนอกที่ยาวกว่า ขนชั้นนอกยาวตรงและบางส่วนเหยียดเรียบไม่ชี้ชันตั้งตรงจากลำตัว ที่สามารถปกป้องมันจากความรุนแรงของฤดูหนาวขั้วโลกเหนือได้ (−50 °C to −60 °C) แต่ขนที่หนานั้นทำให้ระบายความร้อนได้ยากในฤดูร้อน ส่วนขนยาวแบบที่เรียกว่า "ฮัสกีขนแกะ (wooly huskies)" นั้นไม่เป็นที่ยอมรับ และไม่มีสิทธิ์ลงแข่งในสนามประกวด 
จมูกของไซบีเรียนฮัสกีมีสีดำในสีเทาในสุนัขสีแทนและสีดำ สีเลือดหมูในสุนัขสีทองแดง และอาจจะมีสีเนื้อในสุนัขสีขาว ไซบีเรียนฮัสกีบางตัวมีจมูกที่เรียกว่า "จมูกหิมะ" เป็นสภาวะที่เรียกว่าผิวด่าง (hypopigmentation) ในสัตว์ และสุนัขที่มี "จมูกหิมะ" นั้นสามารถลงประกวดได้[8][6] ในสุนัขระดับประกวดไม่ค่อยจะมีจมูกทรงแหลมหรือสี่เหลี่ยมนัก
ในการเพาะพันธุ์ ไซบีเรียนฮัสกีมีมาตราฐานดังนี้ เพศผู้สูง 21 - 23.5 นิ้ว (53.5 - 60 ซ.ม.) หนัก 45 - 60 ปอนด์ (20.5 - 28 กิโลกรัม) เพศเมียมีขนาดเล็กกว่า สูง 20 - 22 นิ้ว (50.5 - 56 ซ.ม.) หนัก 35 - 50 ปอนด์
ไซบีเรียนฮัสกีที่มีตาสีฟ้าน้ำแข็ง
ไซบีเรียนฮัสกีก็เหมือนสุนัขใช้งานทั่วๆไปที่มีพลังงานสูงต้องการการออกกำลังมาก มันควรได้รับการปฏิบัติแบบเพื่อนเดินทางและสุนัขลากเลื่อนไม่ใช่สุนัขอารักขา การรวมกันของปัจจัยนี้ส่งผลให้ไซบีเรียนฮัสกีมีจิตประสาทที่สุภาพอ่อนโยนและซื่อสัตย์
ชาวอินูอิต (Inuit) พัฒนาสายพันธุ์นี้ขึ้นมาเพื่อใช้ลากเลื่อนหนักเป็นระยะทางไกลๆและสามารถเอาตัวรอดได้การภูมิประเทศที่หนาวเย็นแบบทรุนดรา (tundra) และช่วยในการล่าสัตว์
ไซบีเรียนฮัสกี เพศเมีย อายุ 6 เดือน กำลังเล่นในหิมะ
พฤติกรรมของไซบีเรียนฮัสกีถูกมองว่าเป็นตัวแทนบรรพบุรุษของสุนัขบ้าน นั่นก็คือหมาป่า มันแสดงออกในรูปแบบพฤติกรรมของเทือกเถาเหล่ากอแบบกว้างๆ[10] บ่อยครั้งที่ชอบหอนมากกว่าเห่า[11] การแสดงออกที่มากเกินไปเกิดจากการถูกขับด้วยสัญชาตญาณในการล่า บุคลิกลักษณะของสุนัขที่เกิดจากการเพาะพันธุ์บ่อยครั้งที่เห็นได้ชัดในพฤติกรรมการละเล่นไล่จับสิ่งต่างๆในสิ่งแวดล้อมที่สุนัขแสดงออกมาคล้ายกับสุนัขล่าเนื้อมากกว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยง มันชอบวิ่งเป็นพิเศษ น่าจะเป็นเพราะจากประวัติการเพาะพันธุ์ในอเมริกาเหนือ ในการฝึกสุนัขให้เชื่อฟังคำสั่งควรใช้เวลา 15 นาที/วันดีที่สุด และทำทุกๆวัน
ไซบีเรียนฮัสกีมีอายุเฉลี่ยราวๆ 12 - 16 ปี ข้อบกพร่องในตาแต่กำเนิดที่พบจากการเพาะพันธุ์ เช่น ต้อกระจกบาง, กระจกตาเจริญผิดเพี้ยน, และจอตาฝ่อรุกลาม การเจริญผิดปรกติของเอวก็พบได้บ่อยเช่นกันในการเพาะเลี้ยงเหมือนกับสุนัขขนาดกลางหรือขนาดใหญ่ทั่วไป[13]
ไซบีเรียนฮัสกีที่เป็นสุนัขลากเลื่อนอาจมีโรคอื่นๆอีก เช่น โรคกระเพาะหลอดลมอักเสบ และแผลในกระเพาะ
การแข่งขันสุนัขลากเลื่อน
บางครั้งไซบีเรียนฮัสกียังถูกใช้เป็นสุนัขลากเลื่อนในการแข่งขันลากเลื่อนแต่บางครั้งการมีการใช้สายพันธุ์อลาสกันฮัสกี (Alaskan Husky) ที่เป็นที่นิยมมากกว่าแทนหรือสุนัขล่าสัตว์ที่เกิดจากการพัฒนาพันธุ์เป็นพิเศษโดยเลือกจากความเร็วและขนที่หนาน้อยกว่า ระวางบรรทุกของไซบีเรียนฮัสกีที่ถูกพัฒนาพันธุ์อย่างเลือกเฟ้นสามารถดึงน้ำหนักระดับกลางเป็นระยะทางไกลๆด้วยฝีเท้าระดับปานกลางและโดยทั่วไปไม่สามารถทำความเร็วมากกว่านี้ติดต่อกันได้ ไซบีเรียนฮัสกีก็ยังเป็นที่นิยมใช้ในการแข่งขัน มันวิ่งได้เร็วกว่าสายพันธุ์สุนัขลากเลื่อนแท้ๆบางสายพันธุ์เช่นซามอย, ช้ากว่าแต่แข็งแรงกว่าอลาสกันมาลามิว ปัจจุบันทิศทางการพัฒนาพันธุ์แบ่งออกเป็นไซบีเรียนฮัสกีสำหรับ “การแข่งขัน” และสำหรับ “การประกวด”
ในสหราชอาณาจักร การแข่งขันไซบีเรียนฮัสกีมีขึ้นบนเส้นทางในป่าต้องใช้สามล้อที่ออกแบบพิเศษแทนเลื่อน นิยมแข่งในฤดูหนาว 

บีเกิล ( Beagle  )








บีเกิล (Beagle) เป็นสายพันธุ์สุนัขมีถิ่นกำเนิดในประเทศสหราชอาณาจักร อยู่ในจำพวกกลุ่มสุนัขล่าเนื้อ(Hound) มีขนสั้นและหูปรก เป็นสุนัขที่มีประสาทด้านการดมกลิ่นเป็นเลิศ (scent hounds) ที่พัฒนาสายพันธ์ขึ้นมาครั้งแรก ด้วยจุดประสงค์เพื่อเป็นผู้ช่วยมนุษย์ ในกีฬาการล่าต่างๆ โดยเฉพาะการล่ากระต่าย ด้วยประสาทด้านการดมกลิ่นที่ไวมาก จึงได้มีการฝึกให้เป็นสุนัขตรวจสอบของผิดกฎหมาย อย่างเช่น ยาเสพติด วัตถุระเบิด ฯลฯ แต่บีเกิลยังได้รับความนิยมในฐานะสัตว์เลี้ยงเช่นกัน ด้วยขนาดตัวที่พอเหมาะ เป็นสุนัขอารมณ์ดี และสุขภาพแข็งแรงทนทานต่อโรค ด้วยคุณสมบัตินี้เอง บีเกิลยังถูกใช้ในงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับสัตว์อีกด้วย
สุนัขสายพันธุ์บีเกิลมีมากว่า 2000 ปีแล้ว และมีชื่อเสียงมากในยุคของพระนางอลิซาเบท (Elizabethan era) ซึ่งปรากฏในงานวรรณกรรม จิตรกรรม ภาพยนตร์ โทรทัศน์ และหนังสือการ์ตูนเรื่องสนู๊ปปี้ (Snoopy) ก็เป็นบีเกิลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดตัวหนึ่งของโลก

พฤติกรรมทั่วไป

บีเกิลเป็นสุนัขที่สุภาพ พวกมันค่อนข้างเป็นมิตร ไม่ดุร้ายเกินไปหรือเฉื่อยชาเกินไป ชอบอยู่กันเป็นกลุ่ม แม้ว่าจะพอใช้กันคนแปลกหน้าได้บ้าง แต่มันก็เชื่องคนง่ายเกินจึงไม่เหมาะที่จะเป็นสุนัขเฝ้าบ้าน แต่ว่ามันยังคงเห่าหรือหอนบ้าง เมื่อเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้า
ในปี 1985 เบ็นและลิเน็ท ฮาท(Ben and Lynette Hart) ได้ทำการศึกษาบีเกิล พร้อมกับสุนัขพันธุ์อื่นๆอย่าง ยอคเชียร์ เทอเรีย(Yorkshire Terrier) เคนท์ เทอเรีย (Cairn Terrier) เวส ไฮด์แลนด์ ไวท์ เทอเรีย (West Highland White Terrier) ฟอกซ์ เทอเรีย(Fox Terrier) ผลออกมาว่าบีเกิลเป็นสุนัขที่ฉลาด และเป็นสายพันธุ์ที่ถูกพัฒนามาด้วยจุดประสงค์เดียว คือให้เป็นนักล่ามาเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ฝึกค่อนข้างยาก โดยทั่วไปเมื่อมันรับคำสั่งแล้ว จะสั่งยกเลิกได้ยาก และเมื่อมันจดจำกลิ่นหนึ่งได้ มักจะถูกกลิ่นอื่นรอบตัวเบี่ยงเบนความสนใจได้ง่าย พวกมันจะไม่ค่อยยอมรับคำสั่งทั่วๆไป แต่ก็มีการตอบสนองต่ออาหารที่ดี มีความตื่นตัวสูง ช่างประจบ ในทางกลับกันก็เป็นสุนัขที่เบื่อง่าย
บีเกิลเป็นสุนัขที่เหมาะกับเด็กๆ จึงเป็นสุนัขที่นิยมเลี้ยงกันในครัวเรือน แต่ว่าพวกมันเป็นสุนัขที่อยู่เป็นฝูง เวลานำไปเลี้ยงจึงอาจเกิดอาการซึมเศร้าได้ ไม่ใช่บีเกิลทุกตัวที่จะหอน แต่ส่วนมากจะเห่าเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งบางตัวจะเห่าหรือหอน เมื่อรับรู้ถึงกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งโดยเฉพาะ บีเกิลยังเข้ากับสุนัขสายพันธุ์อื่นได้ง่าย พวกมันแข็งแรงมาก จึงวิ่งเล่นได้นานโดยที่ไม่เหนื่อยง่ายๆ

บีเกิลกับบทบาทคู่หูของมนุษย์

ในอดีตบีเกิลถูกพัฒนาสายพันธุ์เพื่อการล่าโดยเฉพาะ มันเป็นเหมือนคู่หูในฝันของนายพรานสูงวัย ที่จะอยู่บนหลังม้าแล้วคอยควบคุมบีเกิล ส่วนพรานหนุ่มหรือพรานที่ไม่มีเงินมากพอ จะซื้อม้าที่แข็งแรงสายพันธุ์ดีก็จะใช้ลูกม้าแทน ก่อนที่การล่าหมาป่าจะเป็นที่นิยมในช่วงศตวรรษที่ 19 การล่าถือเป็นกิจกรรมข้ามคืนที่ใช้เวลายาวนาน และเต็มไปด้วยความน่าตื่นเต้นเร้าใจ พวกนายพรานจะสนุกกับการไล่ต้อนมากกว่าที่จะฆ่า ซึ่งบีเกิลจะเหมาะมากสำหรับหน้าที่นี้ ด้วยประสาทรับกลิ่นที่ยอดเยี่ยม กำลังกายที่เหลือเฟือ จึงเป็นเหมือนการการันตี ว่าบีเกิลสามารถไล่ล่าเป้าหมายได้จนกว่าจะเจอ การใช้ฝูงบีเกิลในการล่า เหมาะสำหรับการล่าที่ต้องใช้เวลานาน ส่วนในการล่าระยะสั้น บีเกิลจะทำหน้าที่คอยต้อนเป้าหมาย โดยเฉพาะในการล่ากระต่าย บีเกิลจะสนุกกับการไล่ล่าเป็นพิเศษ
ภาพบีเกิลกำลังตรวจสอบหาวัตถุต้องสงสัย ที่สนามบิน
ในยุคนั้นการล่าร่วมกับบีเกิลเป็นความใฝ่ฝันของคนหนุ่ม ในสหรัฐอเมริกาบีเกิลถูกเลือกเป็นสุนัขที่ใช้ในการ ล่ากระต่ายป่าเป็นสายพันธุ์ต้นๆ ก่อนที่จะมีการนำเข้าสายพันธุ์นี้จากต่างประเทศ การล่ากระต่ายป่ากับบีเกิล เป็นกีฬายอดนิยมในอังกฤษ ในช่วงกลางของศตวรรษที่ 19 จนกระทั่งสก็อตแลนด์สั่งห้ามกีฬาประเภทนี้ในปี 2002 และอังกฤษกับเวลส์ก็ห้ามเช่นกันในปี 2004 (Hunting Act 2004) จากภายใต้กฎหมายนี้ บีเกิลยังสามารถทำหน้าที่ในการไล่กระต่ายป่า ที่ถือว่าสร้างความรำคาญได้อยู่ อย่างไรก็ดีกีฬาการไล่ล่าก็ยังคงได้รับความนิยมอยู่ โดยเปลี่ยนรูปแบบเป็นการไล่ต้อนโดยไม่เอาชีวิต ให้วิ่งไปมาอยู่ในเขตการล่า ถือเป็นกิจกรรมที่ให้สุนัขได้ออกกำลังกาย และพัฒนาทักษะ
ปัจจุบันบีเกิล ได้รับการเลือกเป็นหนึ่งในสุนัขดมกลิ่น ที่ใช้ตรวจสอบหาวัตถุต้องสงสัย ในงานด้านความมั่นคง และทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ (Beagle Brigade) บีเกิลกับบทบาทด้านความมั่นคงในการตรวจสอบตามสนามบิน ซึ่งในปีหนึ่งๆ สามารถช่วยเจ้าหน้าที่ตรวจพบวัตถุผิดกฎหมาย ได้ถึง 75000 รายการต่อปี อีกเหตุผลหนึ่งที่บีเกิลได้รับเลือกในหน้าที่นี้ เพราะว่าบีเกิลมีขนาดตัวที่ค่อนข้างเล็ก สามารถเข้าไปตรวจได้แม้กระทั่งคนที่ค่อนข้างกลัวสุนัข ดูแลง่าย ฉลาด และมันทำงานเต็มที่เพื่อรางวัล ซึ่งในหลายประเทศก็ได้มีการ ใช้งานบีเกิลในลักษณะนี้อย่างกว้างขวาง ส่วนสุนัขดมกลิ่นขนาดใหญ่ ก็จะใช้ในงานค้นหาวัตถุระเบิดโดยเฉพาะ และงานที่จำเป็นต้องปีนป่ายเพื่อเข้าไปตรวจสอบ ซึ่งบีเกิลไม่ค่อยเหมาะกับหน้าที่ ลักษณะนั้น


วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2555

สุนัขพันธุ์ชาไป่











ชาร์ไป่เป็นสุนัขที่หายากพันธุ์หนึ่ง มันเกือบจะ สูญพันธุ์ไปแล้วเสียด้วยซ้ำ หากผู้เลี้ยงสุนัขที่ฮ่องกง ไม่ได้คิดจะอนุรักษ์ไว้ ชาร์ไป่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ยับย่นไปทั้งตัวแบบนี้แหละ 


ประวัติ 

ชาร์ไป่เป็นสุนัขที่เก่าแก่มากพันธุ์หนึ่งของโลก ประมาณ กันว่า บรรพบุรุษของชาร์ไป่ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ 200 ปี ก่อนคริสต์ศักราชแน่ะ โดยเชื่อกันว่า มันสืบเชื้อสาย มาจากสุนัขพันธุ์ใหญ่ๆ หลายพันธุ์ในแถบทิเบต และจีนตอนเหนือ ซึ่งบัดนี้สุนัขเหล่านั้น ได้สูญพันธุ์ ไปหมดแล้ว โดยจุดประสงค์การเลี้ยงชาร์ไป่ในสมัยนั้น ก็เพื่อใช้ในเกมส์ต่อสู้ระหว่างสุนัข ต่อมาใน ค.ศ. 1947 ประเทศจีนได้ประกาศขึ้นภาษีสุนัขอย่างมหาโหด ทำให้ เจ้าของชาร์ไป่ส่วนใหญ่ตัดใจ เลิกเลี้ยงสุนัข! จำนวนชาร์ไป่จึงลดลงอย่างรวดเร็ว แต่โชคดีที่มีผู้นำ ชาร์ไป่ไปเลี้ยงที่ฮ่องกง และได้พยายามอนุรักษ์ชาร์ไป่ไว้ แล้วชาร์ไป่ตัวแรกเดินทางมาถึงสหรัฐฯ ในทศวรรษ 1970 รอดพ้นการสูญพันธุ์อย่างหวุดหวิด จากนั้นก็ถูกส่งข้ามน้ำ ข้ามทะเล ไปอังกฤษ ใน ค.ศ. 1981

ลักษณะนิสัย 

ชาร์ไป่เป็นสัตว์ที่รักอิสระ ชอบสันโดษ เรียบร้อย ไม่ก้าวร้าว 

ขนาดโดยประมาณ 

ส่วนสูง 46-51 ซ.ม. 
น้ำหนัก 16-20 ก.ก. 


ชาร์ไป่ เป็นภาษาจีน แปลว่า กระดาษทราย ทั้งนี้มาจากลักษณะขน ที่ค่อนข้างแข็ง และสาก ของมันนั่นเอง ชาร์ไป่เป็น สัตว์ที่ได้ชื่อว่า รักความสะอาด และแม้ว่า มันจะเคยเป็นสุนัขในสังเวียนการต่อสู้มาก่อน แต่ชาร์ไป่ก็ไม่ใช่สัตว์ก้าวร้าว มันจึง เหมาะที่จะเป็นสุนัขสำหรับครอบครัว ที่ไม่ชอบอึกทึก ครึกโครม ก็เพราะชาร์ไป่ เค้าจะเงียบๆ เรียบร้อยซะไม่มี... 

สุนัขพันธุ์ Tibetan mastiff








ข้อมูลเฉพาะ หมา แพงที่สุดในโลก



  • เป็นสุนัขสายพันธุ์ ทิเบตัน มาสทิสส์ ( Tibetan mastiff )
  • มีชื่อว่า Yangtze River Number Two
  • อายุ 18 เดือน
  • ความสูงจากพื้นถึงไหล่ 80 เซ็นติเมตร
  • เจ้าของ นาง Wang
  • ราคาซื้อ 4 ล้านหยวน ( 20 ล้านบาท )

ข้อมูลเกี่ยวกับ สุนัขสายพันธุ์ Tibetan mastiff



  • มันเป็นสุนัขสายพันธุ์โบราณ
  • ถิ่นที่อยู่ บริเวณเอซียกลาง และอินเดีย
  • มีชื่อเรียกในภาษาท้องถิ่นว่า Do-khyi ซึ่งแปลว่า สุนัขที่ต้องถูกผูกไว้ (tied dog) เนื่องจากอุปนิสัยที่หวงถิ่นฐาน และดุร้าย จึงต้องผูกไว้เพื่อความปลอดภัยของบุคคลภายนอก
  • ขนาดและน้ำหนักใหญ่ที่สุดที่เคยมีบันทึกไว้ สูงกว่า 80 เซ็นติเมตร หนักกว่า 110 กิโลกรัม
  • ขนาดความสูงตัวมาตรฐาน 61 - 72 เซ็นติเมตร
  • น้ำหนักตัวมาตรฐาน 45 - 72 กิโลกรัม
  • มีลักษณะขนสองชั้น และยาว เพื่อป้องกันความหนาวเย็น
  • มาร์โคโปโล( Marco Polo ) เคยบันทึกการพบเห็นสุนัขพันธุ์นี้ไว้ว่า " พวกมันสูงเท่าลา และมีเสียงดังดุจสิงโต "
  • พวกมันเป็น 1 ในสายพันธุ์สุนัข ที่ หายากที่สุดในโลก สายพันธุ์หนึ่ง คาดการว่ามีสายพันธุ์แท้หลงเหลืออยู่เพียง ประมาณ 100 ตัวเท่านั้น
  • พวกมันเป็น 1 ในสายพันธุ์สุนัข ที่ ดุร้ายที่สุดในโลก สายพันธุ์หนึ่ง โดยชาวธิเบต กล่าวว่าพวกมัน ดุร้าย กล้าหาญ และแข็งแกร่งจนสามารถต่อสู้กับหมี หรือ เสือ ที่บุกเขามากินฝูงสัตว์ที่มันดูแลได้ทีเดียว
  • พวกมันเป็น 1 ในสายพันธุ์สุนัข ที่ ตัวใหญ่ที่ในโลก สายพันธุ์หนึ่ง ด้วยส่วนสูงมากสุดกว่า 80 เซ็นติเมตร หนักกว่า 110 กิโลกรัม
  • ด้วยทั้งหลายทั้งมวลนี้ทำให้ สุนัขสายพันธุ์ทิเบตัน มาสทิสส์ เป็น สุนัข ที่ แพงที่สุดในโลก ไปในโดยปริยาย

วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

สุนัขพันธ์ุปักกิ่ง( บรรพบุรุษของปั้ก)





ลักษณะทั่วไป
      สุนัข พันธุ์ปักกิ่งมีบุคลิกแบบสวย เริ่ด เชิด และหยิ่งในศักดิ์ศรี พร้อมด้วยอาการดื้อดึงแต่พองาม เป็นสุนัขที่มีความเป็นตัวของตัวเอง มีท่าทีการเคลื่อนไหวอย่างสง่างามระเหิดระหง อารมณ์ดีแต่สงบเงียบ ไม่เอะอะโวยวายหรือร่าเริงเกินเหตุ แต่ก็ใช่ว่าจะนิ่งจนน่าเบื่อ ถ้าอยู่กับเจ้านายหรือผู้ที่คุ้นเคยมันก็จะเล่นด้วยอย่างสนุกสนานน่ารัก นอกจากนี้ปักกิ่งยังเป็นสุนัขที่กล้าหาญ ไม่เคยมีประวัติเรื่องวิ่งหนีหางจุกตูด เป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรง ทรหดอดทนและเลี้ยงง่าย ทั้งยังเป็นมิตรและซื่อสัตย์ต่อเจ้าของอย่างยิ่งด้วย
ความเป็นมา
      มีหลักฐานว่าคนจีนเลี้ยงสุนัขขนาดเล็กมาตั้งแต่ 1500 ปีก่อนแล้ว ในปี ค.ศ. 565 พระเจ้าจักรพรรดิประเทศจีนทรงพระราชทานนามสุนัขของพระองค์ว่า "ชิ ซู" หรือ "เสือแดง" เป็นสุนัขเปอร์เซียน เมื่อพระเจ้าจักรพรรดิทรงม้า "เสือแดง" จะขึ้นไปนั่งบนตะกร้าที่ผูกไว้ด้านหน้าอานม้า ในปี ค.ศ. 620 มีบันทึกว่าสุนัขตัวผู้ตัวเมียคู่หนึ่ง สูงประมาณ 6 นิ้ว ถูกนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายจักรพรรดิเกาสู
      บันทึกอ้างว่าสุนัขคู่นี้มีความเฉลียวฉลาดมาก สามารถนำทางม้าในเวลากลางคืน หลักฐานทำนองนี้สืบเนื่องกันมากจนกระทั่งกลางคริสต์ศตวรรษที่ 14 เมื่อราชวงศ์ของกุบไลข่านถูกพิชิตลง บันทึกหลักฐานต่างๆ ก็หมดสิ้นลงไปด้วย เป็นเวลาสืบเนื่อง 33 ปี เรารู้แต่ว่าคนจีนหันมานิยมเลี้ยงแมวแทนสุนัข โดยเฉพาะในสังคมชั้นสูง ธรรมเนียมการเลี้ยงสุนัขขนาดเล็กของจีนมาพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดระหว่างปี ค.ศ. 1820 ถึง 1850 ในช่วงเวลานั้นมีสุนัขอยู่หลายพันธุ์ในนครปักกิ่ง พวกขันที 4000 คน ยังมีหน้าที่เฉพาะในการผลิตเพาะสุนัขแบบที่เราเรียกว่า "พันธุ์ปักกิ่ง" ด้วย
       พระนางซูสีไทเฮาทรงเป็นผู้ทำนุบำรุงกิจกรรมนี้ พระนางยังทรงกระตุ้นให้สร้างรูปแบบพันธุ์คล้ายกับ "สุนัขสิงห์โต" แบบเก่า กิจกรรมข้อหนึ่งก็คือจัดร่างกฎเกณฑ์แบบเฉพาะของสุนัข ข้อความที่นำมาเสนอแบบย่อๆ มีดังนี้ "จงให้มันสวมคลุมขนแห่งความสง่ารอบๆ คอ ขาคู่หน้าของมันจะต้องโค้ง เพื่อไม่ให้มันเดินออกไปไกลๆ หรือเดินออกนอกเขตพระราชฐาน จงสอนมันให้ละเว้นการเตร็ดเตร่ไปมา ให้มันมีขนเหมือนสิงห์โต เหมาะที่จะอุ้มไว้ในชายแขนเสื้อคลุม …" กฤษฎีกานี้ยังกำหนดต่อไปถึงอาหารของสุนัข เช่น "หูฉลาม" "ตับนก" และ "ส่วนอกนกกระทา" เราอาจจะไม่ถือเรื่องนี้เป็นจริงเป็นจังนัก อย่างไรก็ตามหลักฐานนี้ ทำให้เรารู้ว่ามีสุนัขพันธุ์ปักกิ่งเกิดขึ้นมาแล้ว และมักจะพบสุนัขพันธุ์นี้ในพระราชวังเท่านั้น ในสมัยก่อนผู้ใดขโมยสุนัขนี้จะได้รับโทษถึงประหารชีวิต
        พระราชวังแห่งปักกิ่งถูกชาวต่างชาติบุกเข้ายึดครองเมื่อปี ค.ศ. 1860 ก่อนการสูญเสียมีคำสั่งจากพระราชวงศ์ว่า  ให้สุนัขตายไปเสียดีกว่า จะให้ตกอยู่ในมือของคนต่างชาติ เจ้าฟ้าหญิงพระองค์หนึ่งไม่ยอมเสด็จหนี ทั้งไม่ยอมให้ทหารดรากูนเข้าจับกุมด้วย ทรงปลงพระชนม์ชีพของพระองค์เอง แต่ไม่ได้ทำลายสุนัขที่เลี้ยงไว้ สุนัขปักกิ่งสี่ตัวถูกทหารยึดได้ ตัวหนึ่งถูกส่งขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระราชินีวิคตอเรีย อีก 3 ตัวที่เหลือยุคแห่งริชมอนด์เลี้ยงดูไว้ ต่อมาก็มีผู้นำตัวอื่นๆ เข้าสู่อังกฤษอีก ตัวหนึ่งได้นำถวายควีนวิคตอเรีย ส่วนอีก 3 ตัวมอบให้ LORD HAY และได้แพร่พันธุ์กระจายไปทั่วไปโลก ซึ่งก็หมายถึงการเลี้ยงดูเพาะสร้างสายพันธุ์ที่ตามมา
      เรื่องราวเหล่านี้อ่านแล้วเหมือนนิยาย แต่ก็เป็นเรื่องจริง เรื่องคล้ายนิยายและความเกี่ยวพันกับราชวงศ์ซึ่งเป็นของสูงนี้ ทำให้พันธุ์ปักกิ่งได้รับความนิยมอย่างใหญ่หลวง ตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 8 มีชื่อเรียกอีกหลายชื่อ เช่น LION DOG SUN DOG หรือ STEEVE DOG ปักกิ่งเป็นสุนัขขนาดเล็กที่น่าสนใจที่สุด และมีบุคลิกลักษณะที่ผิดธรรมดาที่สุด มันมีลักษณะผสมกันประหลาดๆ ของความขบขันและความทรนง เป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ด้วยทั้งยังมีความหัวแข็งดื้อรั้นอย่างน่าทึ่ง บางครั้งก็ไม่ยอมรับคำสั่งโดยเด็ดขาด พวกมันชอบเก้าอี้นวมบุแพรไหม แต่ถ้ามีอารมณ์สนุกแล้วก็อกไปวิ่งไล่จับกระต่ายเลย
       ลักษณะเฉพาะตัวเหล่านี้ทำให้สุนัขพันธุ์นี้พุ่งขึ้นไปสู่ระดับสุดยอด พันธุ์ปักกิ่งไม่เคยหลุดออกจากยี่สิบอันดับแรกสุนัขยอดนิยมของอังกฤษ (Top Twenty) และยังคงติดอันดับสูงมาจนทุกวันนี้ สำหรับในสหรัฐอเมริกานั้นทั้งๆ ที่พันธุ์ปักกิ่งเพิ่งเข้าไปเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 แต่ก็เป็นสุนัขระดับยอดนิยมแล้ว

   




มาตรฐานสายพันธุ์  
 
ขนาด
 เนื่องจากปักกิ่งเป็นสุนัขตุ๊กตา (TOY) จึงนิยมให้มีขนาดเล็ก โดยจะต้องมีลักษณะที่ถูกต้อง น้ำหนักจะต้องไม่เกิน 14 ปอนด์ 
ศีรษะ
 มีขนาดใหญ่ แข็งแรง กว้างและแบน ในช่วงระหว่างหูทั้งสองข้างจะต้องไม่มีโค้งนูนเป็นโดม มีระยะระหว่างตาทั้งสองข้างกว้าง 
สต๊อป
 หรือรอยต่อระหว่างสันจมูกกับหน้าผากจะต้องลึกมาก 
ปาก
 สั้นมาก กว้าง มีรอยย่น ไม่ยื่นแหลม แข็งแรง ขากรรไกรล่างกว้าง ฟันไม่ยื่นให้เห็นนอกริมฝีปาก 
ตา
 ตาโต สีเข้ม กลมนูนเด่นประกาย 
หู
 มีลักษณะเป็นรูปหัวใจ ไม่อยู่สูงเกินไป ยาวพอสมควร ปลายหูอยู่ระดับต่ำกว่าช่วงปากเล็กน้อย ห้อยตกลงแนบแก้ม ปกคลุมด้วยขนที่ยาวมาก 
จมูก
 จมูกสีดำ กว้าง สั้นและแบน 
ลำตัว
 ลำตัวช่วงหน้าใหญ่หนักแข็งแรง หน้าอกกว้าง ซี่โครงโค้งกว้างค่อยๆ เรียวลงทางด้านหลัง รูปร่างเหมือนสิงโต หลังเรียบขนานกับพื้น ลำตัวสั้นยกเว้นตัวเมียที่อาจยาวกว่าตัวผู้ได้เล็กน้อย 
ขา
 ขาสั้น ขาหน้ามีกระดูกช่วงบนโค้ง ไหล่แข็งแรง ขาหลังมีกระดูกที่เล็กบางกว่าเล็กน้อย แต่แข็งแรงและได้สัดส่วน 
เท้า
 เท้าแบน ปลายเท้าเฉียงออก ไม่มีลักษณะกลม จะต้องยืนได้มั่นคงบนเท้าไม่ใช่ยืนบนข้อเท้า 
หาง
 ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สูง วางพาดไปบนหลัง ปลายหางตกลงด้านใดด้านหนึ่ง มีขนยาวตรงแน่นและฟูมาก 
ขน
 ขนยาว มีขนชั้นในที่หนาแน่น ขนมีลักษณะเป็นเส้นตรง เรียบไม่หยิกเป็นคลื่น ค่อนข้างหยาบแต่นุ่ม ขนบริเวณสะโพก ขา หางและหูจะต้องยาวและฟูมาก 
สีขน
 มีได้ทุกสีคือ แดง ฟอน (สีโทนน้ำตาล) ดำ ดำกับแทน (BLACK AND TAN) เซเบิล (ขนสีดำที่ปกคลุมสีของลำตัวที่อ่อนกว่า) บรินเดิ้ล (ขนสีเข้มและสีอ่อนขึ้นแซมกันทั่วตัว) ขาวและขน 2 สี (PATICOLOR) คือ จะต้องมีสี 2 สีที่แยกจากกันอย่างชัดเจนกระจายอยู่ทั่วตัว ไม่มีสีใดสีหนึ่ง เป็นบริเวณกว้างอยู่สีเดียว จะต้องมีสีขาวปรากฎบริเวณหลัง สำหรับสุนัขที่มีสีเดียว แต่มีเท้ากับหน้าอกยาว ไม่นับเป็นประเภทขนสองสี 
ขนและแผง
 ยาวและฟูมาก กว้างเกินหัวไหล่ ปกคลุมตลอดรอบลำคอ 
 


อ่านต่อ : http://www.dogilike.com/breeds/24/%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87.php#ixzz1nmhIFQ9f
 

อ่านต่อ : http://www.dogilike.com/breeds/24/%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87.php#ixzz1nmglPBxn
 


อ่านต่อ : http://www.dogilike.com/breeds/24/%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87.php#ixzz1nmfyK4Tv